วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

ไปเที่ยวพระตำหนักดอยตุงนะ


พระตำหนักดอยตุง

ตั้งอยู่ ต.แม่ฟ้าหลวง อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาดอยตุง ตั้งอยู่บนสันเขาของเทือกดอยนางนอน ระดับความสูงประมาณ 1,200 ม. จากระดับน้ำทะเล มองเห็นทิวเขาสลับซับซ้อน คล้ายทิวทัศน์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีไม้ดอกไม้ประดับที่ผลิดอกสวยงามตลอดทั้งปี เป็นจุดศูนย์กลางของเส้นทางท่องเที่ยวดอยตุง นางนอน พระตำหนักดอยตุงเริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2530 เมื่อสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี มีพระชนมายุ 88 พรรษา โดยก่อนหน้านั้นมีพระราชกระแสว่า หลังพระชนมายุ 90 พรรษา จะไม่เสด็จไปประทับที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สำนักงานราชเลขานุการในพระองค์ จึงได้เลือกดอยตุง ซึ่งมีทิวทัศน์สวยงาม ขณะเดียวกัน สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี เมื่อทรงทอดพระเนตรพื้นที่ เมื่อต้นปี พ.ศ.2530 ก็ทรงพอพระราชหฤทัย และมีพระราชดำริจะสร้าง "บ้านที่ดอยตุง" พร้อมกันนี้ ยังมีพระราชกระแสรับสั่งว่าจะ " ปลูกป่าบนดอยสูง" จึงกำเนิดเป็นโครงการพัฒนาดอยตุงขึ้น
โครงการพัฒนาดอยตุงเริ่มดำเนินการโดยความร่วมมือจากหน่วยราชการทุกส่วน


เช่น กรมป่าไม้ กรมชลประทาน หน่วยงานด้านปกครอง นอกจากทำการปลูกป่าฟื้นฟูสภาพพื้นที่แล้ว ยังมีการฝึกอาชีพเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวเขาบนดอยตุง ซึ่งประกอบด้วยชาวเขาเผ่าอาข่า ลาหู่ ไทยใหญ่ และจีนฮ่อ ขณะเดียวกันยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของตนไว้ อาคารพระตำหนักดอยตุง ทำพิธีลงเสาเอก เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2530 พระตำหนักแห่งนี้ ถือเป็นบ้านหลังแรกของสมเด็จย่า สร้างขึ้นโดยใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ โดยเน้นที่ความเรียบง่าย และการใช้ประโยชน์ ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จย่า พระตำหนักยังได้รับการอนุรักษ์ ไว้เป็นอย่างดี และเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าเที่ยวชม สถาปัตยกรรมของพระตำหนักเป็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบล้านนากับบ้านพื้นเมืองของสวิส สร้างบนไหล่เนิน มองเห็นทิวทัศน์ได้ไกลสุดสายตา พระตำหนักมีสองชั้น และชั้นลอย ชั้นบนแยกเป็นสี่ส่วน แต่เชื่อมต่อกันเป็นอาคารหลังเดียว ที่โดดเด่นสะดุดตา คือ กาแล และไม้แกะสลักเป็นเชิงชายลายเมฆไหล ที่อ่อนช้อยโดยรอบ ภายในตำหนักล้วนใช้ไม้สน และไม้ลังที่ใส่สินค้า เป็นเนื้อไม้สีอ่อนที่สวยงาม จุดน่าสนใจอีกจุดคือ เพดานดาว ภายในท้องพระโรง แกะสลักขึ้นจากไม้สนภูเขา เป็นกลุ่มดาวต่างๆ ล้อมรอบระบบสุริยะ ชมได้อย่างไม่รู้เบื่อ ส่วนบริเวณผนังเชิงบันได แกะสลักเป็นพยัญชนะไทย พร้อมภาพประกอบ
หอพระราชประวัติ เปิดเมื่อปี พ.ศ.2546 เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จย่า ภายในแบ่งเป็นห้องต่างๆ แปดห้อง ห้องแรก แผ่นดินไทยฟ้ามืด กล่าวถึงการเสด็จถวายพระเพลิงพระบรมศพ เมื่อวันที่ 10 มี.ค.2539 ห้องที่ 2 ฉันจะเดินทางด้วยเรือลำนี้ แสดงถึงปรัชญาในการดำเนินพระชนม์ชีพ ที่ประกอบด้วยหลักเหตุผล และการสร้างสรรค์ทางศิลปะ ห้องที่ 3 ภูมิธรรม ประมวลความสนพระทัยในหลักธรรมคำสั่งสอน ห้องที่ 4 หนึ่งศตวรรษ เป็นการเทิดพระเกียรติสมเด็จย่า และเฉลิมฉลองในวาระ 100 ปีแห่งการพระราชสมภพ เมื่อปี พ.ศ.2443 ทั้งนี้ ทรงพระปรีชาชาญ ในการอภิบาลพระธิดา และพระโอรส ที่ต่อมาได้เถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ รวมทั้งทรงนำความรู้ใหม่ๆ มาใช้ในงานบำบัดทุกข์บำรุงสุข ของพสกนิกร จนองค์การยูเนสโก ได้ประกาศพระนามในปฏิทินบุคคลสำคัญของโลก ห้องที่ 5 เวลาเป็นของมีค่า กล่าวถึงงานฝีมือต่างๆ ของพระองค์ที่ใช้พระราชทานแก่บุคคลต่างๆ ห้องที่ 6 พระมารดาแห่งการแพทย์ชนบทและการสาธารณสุขไทย ห้องที่ 7 พระผู้อภิบาล บรรยายถึงความเป็นพระผู้อภิบาลธรรมชาติ และห้องที่ 8 ดอยตุงกับการพัฒนาที่ยั่งยืน กล่าวถึงโครงการพัฒนาดอยตุงที่เป็นโครงการพัฒนาระยะยาว เน้นการอนุรักษ์ธรรมชาติและคุณภาพชีวิตของประชาชน สวนแม่ฟ้าหลวง เป็นสวนดอกไม้เมืองหนาว ในหุบเขา สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2535 เดิมมีพื้นที่ 12 ไร่ มีการปลูกดอกไม้หมุนเวียนสลับให้ออกดอกไม่ซ้ำกันตลอดสามฤดู ล้อมรอบประติมากรรมชื่อ "ความต่อเนื่อง" เป็นรูปเด็กยืนต่อตัวที่กลางสวน นอกจากนี้ ยังจัดแต่งสวนหินซึ่งประดับด้วยหินภูเขากลมเกลี้ยงขนาดใหญ่ สวนน้ำอุดมด้วยไม้น้ำพันธุ์ต่างๆ บัว และสวนปาล์ม ที่รวบรวมปาล์มไว้มากมายในพื้นที่ 13 ไร่ สวนแม่ฟ้าหลวงจึงมีพื้นที่ทั้งสิ้น 25 ไร่

ไปไหว้พระธาตุนครพนมนะคะ





วัดพระธาตุนครพนม

ดินแดนอีสานตอนเหนือที่มีมนต์ขลัง และเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุประจำวัน ให้ประชาชนได้สักการะ พร้อมด้วยสถาปัตยกรรมสวยงาม ที่ทำให้คุณเดินถ่ายรูปได้ไม่รู้เบื่อ นครพนมเป็นจังหวัดทางภาคอีสานตอนเหนือที่ติดกับแม่น้ำโขงตลอดทั้งชายฝั่ง ซึ่งในอดีตเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ ที่รุ่งเรืองมาก พรั่งพร้อมทั้งอารยธรรมมากมาย ที่ถ่ายทอดมาเป็นพระธาตุประจำวันต่างๆ และพระธาตุที่มีความสำคัญที่สุดคือองค์พระธาตุพนม ที่บรรจุพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) ของพระพุทธเจ้าไว้
ดังนั้น สิ่งที่นักท่องเที่ยวจะได้รับจากนครพนม คือ กลิ่นอายวัฒนธรรมนับร้อยปี และวิวสวยๆ ของแม่น้ำโขง เส้นเลือดใหญ่ของคาบสมุทรอินโดจีนที่เป็นเอกลักษณ์สำคัญมาจนทุกวันนี้พระธาตุพนม สัญลักษณ์เด่น พระธาตุพนมเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดนครพนม ตั้งอยู่ในวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม ซึ่งเดิมเรียกว่า ภูกำพร้า โดยมีประวัติเล่าไว้ว่า ในสมัยก่อนภูกำพร้าตั้งอยู่บนอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ โดยมีท้าวพญาเจ้าเมือง 5 องค์คือ พญาจุลณีพรหมทัตพญาอินทปัตถนคร พญาคำแดง พญานันทเสน และพญาสุวรรณพิงคาร เป็นผู้ก่อสร้าง กล่าวได้ว่าพระธาตุพนมเป็นสิ่งก่อสร้างแทนความรุ่งเรืองสมัยอดีตของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์นั่นเอง ทั้งนี้ ภายในได้บรรจุพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้าที่อัญเชิญโดย พระมหากัสสปเถระ จากอินเดีย โดยประดิษฐานไว้ด้านในพระบรมธาตุ เมื่อประมาณปีพ.ศ. 500 ต่อมามีการบูรณปฏิสังขรณ์เรื่อยมา จนเมื่อครั้งสงคราม ไทย-ฝรั่งเศส พิพาทกันเรื่องดินแดน ทำให้ถูกระเบิดถึง 60 ลูก แต่ทว่าด้วยแรงอธิษฐานทำให้พระธาตุนั้นไม่บุบสลายแต่ประการใด นอกจากนี้ ว่ากันว่า การได้มาสักการะพระธาตุพนมนั้นจะเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง นำมาซึ่งความสุขความเจริญ และหากหมั่นบูชาตามกำลังศรัทธาก็จะได้กุศลแรงอีกด้วย ซึ่งพระธาตุพนมเป็นสัญลักษณ์ของคนที่เกิดปีวอก
มีโอกาสอยากให้ไปไหว้สักการะบูชาสักครั้ง นะคะ ขอบอก...สวยงาม
มากกกก

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

ไปชมประตูชัย เวียงจันทร์นะ










ประตูชัย
ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเวียงจันทน์บนถนนล้านช้างไปสิ้นสุดที่บริเวณประตูชัย สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2512 เป็นอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงประชาชนชาวลาวผู้เสียสละชีวิตในสงครามก่อนหน้าการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ ประตูชัยแห่งนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า รันเวย์แนวตั้ง เพราะการก่อสร้างประตูชัยแห่งนี้ ใช้ปูนที่อเมริกาซื้อเพื่อนำมาสร้างสนามบินใหม่ในนครเวียงจันทน์ในระหว่างสงครามอินโดจีน แต่ไม่ทันได้สร้างเพราะอเมริกาแพ้สงครามในอินโดจีนเสียก่อน จึงนำปูนซีเมนต์มาสร้างประตูชัยแทน ลักษณะสถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลของประตูชัยใน
กรุงปารีสประเทศฝรั่งเศส เจ้าอาณานิคมในสมัยนั้น แต่ลักษณะสถาปัตยกรรมก็ยังมีเอกลักษณ์ของลาวปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปศิลปะลาว ภาพเรื่องราวมหากาพย์รามายณะ แบบปูนปั้นใต้ซุ้มประตูโค้งของประตูชัย บันไดวันให้ขึ้นไปชมทิวทัศน์ของนครเวียงจันทน์ บนยอดของประตูชัยอีกด้วย ตลอดบันไดวนของประตูชัยจะแบ่งออกเป็นชั้นๆ ซึ่งแต่ละชั้นจะมีร้านจำหน่ายของที่ระลึก เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นชมวิวทิวทัศน์ทุกวันสถานที่ตั้ง อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเวียงจันทร์
สถานที่ตั้ง อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเวียงจันทร์ค่าเข้าชม ผ่านประตูคนละ 2,000 กีบเปิดเวลาเปิดเข้าชม ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น.
.........มีโอกาส น่าจะลองไปเที่ยวดู สักครั้ง นะคะ ใกล้ๆๆๆนี่เองนะคะ....

ไปเที่ยวแม่นำสาละวินกันนะ




แม่น้ำสาละวิน
ตั้งอยู่ในเขต อุทยานแห่งชาติสาละวิน แม่น้ำสาละวินหรือที่ชาวแม่ฮ่องสอนเรียกว่า "แม่น้ำคง" เป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่มีต้นน้ำมาจากที่ราบสูงธิเบต ซึ่งมีความสูงถึง 8,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล แม่น้ำไหลมาจากทางใต้ผ่านธิเบต จีน พม่า จนมาเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างไทย-พม่า ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน แล้วจึงไหลผ่านอำเภอแม่ลาน้อย อำเภอแม่สะเรียง และอำเภอสบเมย ก่อนที่จะไหลเข้าไปในเขตพม่าอีกครั้งหนึ่ง รวมความยาวที่กั้นพรมแดนไทยเป็นระยะทางทั้งสิ้น 120 กิโลเมตร
ในฤดูร้อนหิมะบนภูเขาบริเวณที่ราบสูงของธิเบตจะละลายลงสู่แม่น้ำ ทำให้น้ำในแม่น้ำใสสะอาดกว่าฤดูอื่น ในฤดูหนาวมีสายหมอกปกคลุมตลอดลำน้ำซึ่งไหลผ่านกลางป่าผลัดใบที่เริ่มเปลี่ยนสี นอกจากนี้ในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อนระดับน้ำจะลดต่ำมองเห็นหาดทรายขาวละเอียดทั้งสองฝั่งสลับกับโขดหินใหญ่ นักท่องเที่ยวนิยมมากางเต็นท์พักแรมบนหาดทรายริมน้ำ หรือนั่งเรือชมความงามของลำน้ำและทิวทัศน์ธรรมชาติริมสองฝั่งน้ำ กางเต็นท์นอนริมแม่น้ำสาละวิน ผู้สนใจสามารถมากางเต็นท์นอนได้ที่บ้านท่าตาฝั่ง ซึ่งเป็นหมู่บ้านริมแม่น้ำสาละวินที่มีหาดทรายสวยงาม ยาวประมาณ 200 เมตร พื้นที่ประมาณ 20 ไร่ อยู่ห่างจากอำเภอแม่สะเรียงเพียง 8 กิโลเมตร แล้วเข้าทางแยกขวามือไปตามทางลูกรังอีก 4 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติ จากนั้นไปตามทางลูกรังที่ใช้ได้เฉพาะฤดูแล้งอีกประมาณ 40 กิโลเมตร จะถึงบ้านท่าตาฝั่ง กิจกรรม - แค็มป์ปิ้ง - ชมทิวทัศน์

พุทธทำนาย สงครามล้างโลก...นอสตราดามุส




นอสตราดามุส เป็นชาวฝรั่งเศสเชื้อสายยิว เกิดวันที่ 14 ธ.ค. ค.ศ.1503 ที่เมืองแซงต์ เรมี ในครอบครัวที่มีอันจะกิน พ่อชื่อชาคส์ แม่ชื่อเรอเน่
นอสตราดามุสเป็นเด็กที่เติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ เพราะสนิทกับคุณปู่และคุณตาที่เป็นถึงแพทย์หลวง เขาจึงมีความรอบรู้เก่งกล้าในหลักวิชาแขนงต่างๆ มีความรอบรู้มากกว่าเด็กร่วมยุคในวัยเดียวกัน รอบรู้ทั้งวรรณคดีคลาสสิค ประวัติศาสตร์ การแพทย์ สมุนไพร ฯลฯ ปัจจุบันนี้ผู้คนจะรู้จักนอสตราดามุสในฐานะนักพยากรณ์เอกของโลก แต่ความจริงแล้วเขาเป็นถึงแพทย์ปริญญา เภสัชกร นักสมุนไพร นักโภชนาการ นักคิดนักปฏิรูป นักดาราศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์ ชีวิตของเขาฝ่ามรสุมมาอย่างโชกโชน
นอสตราดามุสจบแพทย์ มหาวิทยาลัยมองต์เปลิเยต์ ปี 1525 เขาเป็นผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับวิชาการแพทย์ที่เก่าคร่ำครึ เช่น การไม่ยอมทำความสะอาดแผลของผู้ป่วย เพราะกลัวว่าเป็นการล้างบาป ซึ่งความคิดดังกล่าวทำให้ยุโรปยุคศตวรรษที่ 16 ตกอยู่ในช่วงการระบาดของเชื้อโรคมากมาย
ในปี ค.ศ.1537 โรคระบาดแพร่ระบาดมาถึงเมืองอายีน คนตายกันเป็นเบือ และขณะที่นอสตราดามุสเดินทางไปรักษาคนป่วยอย่างเหน็ดเหนื่อย เขากลับมาบ้านและพบว่าภรรยาและลูกของเขาติดเชื้อกาฬโรคเสียแล้ว เขาพยายามทุกวิถีทางแต่ก็สายเกินแก้
หลังจากที่ลูกเมียตาย นอสตราดามุสก็เข้าสู่ช่วงตกต่ำที่สุด นอกจากจะเสียใจที่สูญเสียคนรักแล้ว ชาวเมืองอายีนก็หมดศรัทธา ไม่ยอมเชื่อถือในวิชาแพทย์และการรักษาของเขาอีกต่อไป และคราวนี้นอสตราดามุสก็ทำอะไรไม่ถูกใจคนไปเสียหมด โดยระหว่างที่เขาเดินผ่านไปเห็นคนงานกำลังหล่อรูปพระแม่มารีอยู่นั้น เขาก็แหย่เล่นว่า “กำลังหล่อรูปปีศาจใช่ไหม” เพียงเท่านั้นนอสตราดามุสก็ถูกตราหน้าว่าไม่เคารพพระแม่มารี ทั้งยังถูกเจ้าหน้าที่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนด้วย
ในที่สุดนอสตราดามุสจึงตัดสินใจหนีออกจากเมืองอายีน หลบหนีพวกกรรมการสอบสวน เร่ร่อนไปทั่วยุโรปตอนใต้และตะวันตกอยู่ 6 ปี ซึ่งในช่วงเวลานี้เขาเสาะแสวงหาสัจธรรมของชีวิต และในที่สุดเขาก็ใช้วิธีอ่านเหตุการณ์ล่วงหน้า ให้กลายเป็นมิติภาพในจิตทัศน์ของเขาได้ เขาเสียชีวิตวันที่ 1 ก.ค. 1566 ด้วยโรคเกาต์

คำพยากรณ์ของนอสตราดามุสที่ถูกต้องและเลื่องชื่อมากคือเขาเห็นบาทหลวงฟรานซิส ที่พบกันโดยบังเอิญ และพยากรณ์ว่าบาทหลวงผู้นี้จะเป็นองค์สันตปาปาในอนาคต ซึ่งตอนนั้นคนอื่นหัวเราะกันเอิ๊กอ๊าก เพราะบาทหลวงผู้นี้ไม่โดดเด่นเลย พื้นเพยังเป็นคนต่ำต้อยอีกด้วย นอกจากนี้คำพยากรณ์ว่าพระเจ้าอังรีที่ 2 จะสวรรคตด้วยการประมือกับคนหนุ่ม ก็เป็นจริง ภายหลังพระเจ้าอังรีที่ 2 ภายระหว่างการประลองยุทธ์กับนักรบหนุ่มในกองทหารสกอตรักษาพระองค์ ส่วนเหตุการณ์ยุคหลังๆที่ตรงได้แก่ การลอบสังหารประธานาธิบดีเคเนดี้ และโรเบิร์ต เคเนดี้ การระเบิดของยานอวกาศชาเลนเจอร์ สงครามอ่าวเปอร์เซีย ฯลฯ ซึ่งเขาทำนายไว้ถึงปี 2000


ยักษ์นอกศาสนาจะฆ่ากัน

สงคราม ชั่วโมงนี้ทั่วโลกต่างก็จับจ้องอยู่กับเรื่องสงครามระหว่างมะริกัน-อัฟกัน มิใช่เพียงเพราะนี่เป็นสงครามระหว่างประเทศมหาอำนาจ อย่างสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช กับประเทศอัฟกานิสถาน ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหาร ตาลีบัน ที่ปกป้องและให้ผืนแผ่นดินพักพิงกับ โอซามา บิน ลาเดน ผู้ก่อการร้ายที่สหรัฐเชื่อว่าอยู่เบื้องหลังการก่อวินาศกรรมครั้งใหญ่ในสหรัฐ
และมิใช่เพียงเพราะนี่เป็น "สงครามแรกของศตวรรษที่ 21" แต่เพราะมีการระบุว่าศึกล้างแค้นของสหรัฐในครั้งนี้ ดีไม่ดีอาจเป็นชนวนนำไปสู่การเกิด "สงครามโลกครั้งที่ 3" หรือปะเหมาะเคราะห์ร้ายอาจถึงขั้นบานปลายเป็น "สงครามล้างโลก"

อะไรทำให้เกิดความหวาดวิตกเช่นนี้ ??

ประการแรก... สงครามครั้งนี้สหรัฐประกาศกร้าวว่าจะกระทำอย่างไม่ไว้หน้าใคร เว้นแต่จะได้ตัวบิน ลาเดน มาลงโทษแต่โดยดี ซึ่งคงเป็นไปได้ยาก สหรัฐจึงต้องทุ่มเททุกวิถีทางเพื่อชัยชนะ เพื่อกู้หน้า-กู้ศักดิ์ศรี เพื่อชำระแค้นการก่อการร้ายที่ส่งผลให้มีชาวอเมริกันและชาติอื่นเสียชีวิตและสูญหายหลายพันคน
จุดนี้เองที่ก่อให้ความกังวลว่าขอบเขตของสงครามอาจจะมิได้จำกัดอยู่เพียงอัฟกานิสถาน แต่อาจบานปลายลุกลามไปถึงประเทศอาหรับอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการนำเรื่อง "ศาสนา" เข้ามามัดโยง จนกลายเป็น "สงครามศาสนา" ซึ่งถ้าถึงวันนั้นผลกระทบการขัดแย้งจะผุดขึ้นทุกหัวระแหงทั่วโลก !! ยิ่งถ้ามีประเทศมหาอำนาจหรือมหาอำนาจเก่าซีกอื่น เช่น จีน, รัสเซีย มองว่าสิ่งที่สหรัฐกำลังทำอาจกระทบเสถียรภาพของประเทศตน แล้วโดดลงมาขวาง หรือลงมาช่วยฝ่ายตรงข้ามสหรัฐ นี่ย่อมมิใช่เรื่องเล็ก ๆ

สงครามใหญ่หยุดโลกย่อมมีสิทธิบังเกิด !!

อีกประการหนึ่ง... ได้มีความกังวลกันว่ากลุ่มก่อการร้ายที่กล้าทำขนาดนี้ บางทีอาจเพราะมีไพ่เด็ดอยู่ในมือก็เป็นได้ ซึ่งหากถูกสหรัฐกดดันรุงแรงมากเข้าที่สุดก็อาจหงายไพ่มาสู้ ไพ่เด็ดที่ว่านี้ก็คือ "อาวุธนิวเคลียร์-อาวุธเคมี-อาวุธเชื้อโรค" อาวุธที่มีอานุภาพล้างโลกได้ง่าย ๆ และอีกสิ่งซึ่งมาเสริมความหวาดกลัว "สงครามโลกครั้งที่ 3 - สงครามล้างโลก" ก็คือ...คำทำนายโบราณในทางศาสนาต่าง ๆ และคำทำนายของ "นอสตราดามุส" นักพยากรณ์ชื่อก้องโลกชาวฝรั่งเศส
จากเอกสารที่กล่าวอ้างถึง "พุทธทำนาย" มีการระบุถึงคำพยากรณ์อนาคตมนุษย์โลกไว้ตอนหนึ่งในทำนองที่ว่า...หลังกึ่งพุทธกาลหรือหลัง พ.ศ. 2500 แล้ว สงครามที่ร้ายแรงยิ่งกว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 จะบังเกิดขึ้น "ยักษ์นอกพุทธศาสนาจะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างจะล้มตายกันฝ่ายละ มาก ๆ สมณะ ชี พราหมณ์จะล้มตาย จะตายไปฝ่ายละครึ่ง จึงจะเลิกรากัน" ใน "พระคัมภีร์ไบเบิล" ของศาสนาคริสต์ ได้มีการทำนายการแตกดับของโลกไว้หลายบท เช่น... "วันที่พระเจ้ามาถึง วันนั้นท้องฟ้าจะถูกไฟผลาญสลายไป และโลกธาตุก็จะถูกไฟเผาให้สลายไป..."

ขณะที่ "นอสตราดามุส" ก็เขียนโคลงทำนายเกี่ยวกับการเกิดกลียุคของโลก-วันโลกาวินาศไว้ในบันทึกชื่อ "เดอะ เซ็นจูรี่" เมื่อกว่า 400 ปีก่อนไว้หลายบท อาทิ... "ดวงอาทิตย์ขึ้นจะเห็นดวงไฟใหญ่ แสงวูบวาบกับเสียงกึกก้องจะแผ่ไปทางเหนือ เสียงร้องครวญครางโหยหวนของความตายได้ยินไปทั่วทั้งโลกด้วยสรรพาวุธ ไฟ ความอดอยาก กับความตายจะคอยรับพวกเขา" (ซ.2 ค.91) บรรยากาศท้องฟ้าและแผ่นดินโลกจะมืดลง และถูกบดบังจนมืดครึ้ม แม้แต่คนไม่เชื่อศาสนายังพร่ำเรียกหาพระผู้เป็นเจ้ากับนักบุญ" (ซ.9 ค.83)
นอกจากนี้ นอสตราดามุสยังได้เขียนจดหมายถึงซีซาร์บุตรชาย มีข้อความตอนหนึ่งว่า... "ก่อนที่ดวงจันทร์จะโคจรจนครบรอบใหญ่ (ค.ศ. 1889-2250) ดวงอาทิตย์และดาวเสาร์จะมาถึงตามลักษณะของดวงดาว ยุคของดาวเสาร์จะเกิดขึ้นอีกเป็นหนที่ 2 คำนวณจากเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว โลกจะพาตัวเองใกล้เข้าสู่วัฏจักรแห่งการแตกดับขั้นสุดท้าย"


ล้วนเป็นคำทำนายเรื่องหายนะของโลก !!
อย่างไรก็ตาม พระราชกวี รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย (มมร.) กล่าวเตือนสติว่า... คนมักไปฟังการทำนายของนอสตราดามุส มากเกินไป มีการตีความกันไปต่าง ๆ นานา โดยเฉพาะที่มีการตีความเมื่อ 2-3 ปีก่อนว่าจะเกิดน้ำท่วมโลก ซึ่งในอดีตกาลพระพุทธเจ้าไม่เคยทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า ท่านมีแต่ยกเหตุผลมาเป็นตัวอย่าง เช่น เรื่องประมาท หรือการสร้างเวร เวรจะระงับได้ด้วยการไม่จองเวร
การจองเวรเป็นการจุดไฟให้ลุก..เกิดการล้างผลาญ
"สหรัฐมีไฟที่จุดอยู่ในใจ จึงเกิดความเคียดแค้น หากยังไม่เลิกจองเวร หรือทำลายล้าง ความหายนะก็จะเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย เพียงเพราะต้องการทำลายคนแค่ 1-2 คนเท่านั้น" ด้าน พระศรีปริยัติโมลี รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ฝ่ายการต่างประเทศ กล่าวว่า... ทางศาสนาพุทธไม่เคยมีใครทำนายอย่างนอสตราดามุส ส่วนของเราจะพูดในหลักการ หมายความว่าโลกเราเป็นไปตามกฎอนิจจัง ไม่ว่าคนหรือสิ่งของอะไรที่ใหญ่โตมโหฬาร มีอำนาจบารมีมากมายมหาศาลแค่ไหน ก็ต้องถูกทำลายล้าง คือทุกอย่างมันไม่เที่ยง ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปเสมอ

"ถ้าโลกจะพินาศย่อยยับดับสูญไป เกิดสงครามล้างโลก สาเหตุก็มาจากกิเลสในใจมนุษย์ ที่มีทั้งความโลภ โมหะ และความหลง ความอยากได้ เหล่านี้เป็นชนวนเหตุที่ทำให้เกิดสงคราม โดยมนุษย์เป็นผู้ทำลายในแง่ของการปฏิบัติ เพราะสงครามที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งก็เนื่องมาจากการแย่งชิงทรัพยากร ความโกรธเกลียด พยาบาทอาฆาตแค้น และแบ่งแยกสีผิว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสหรัฐอเมริกาก็เช่นเดียวกัน"